Saturday, February 24, 2007

ก๋วยเตี๋ยวชามที่อร่อยที่สุดในโลก

ก๋วยเตี๋ยวชามที่อร่อยที่สุดในโลก
โดย พงษ์ปรัชญา
๑.
แล้วแม่ก็เดินออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส ฉันเห็นรอยยิ้มนั้นของแม่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จังหวะการย่างก้าวของแม่สม่ำเสมอและผ่อนคลาย มันเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้เห็นรอยยิ้มและดวงหน้าอันสดใสเช่นนี้ของแม่ ฉันยิ้มรับเมื่อมือนิ่มนุ่มและอบอุ่นสัมผัสลงบนศีรษะของฉันอย่างอ่อนโยน มันเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนและอบอุ่นเช่นนี้จากแม่

๒.
ฉันจำได้เมื่อราวครึ่งปีที่ผ่านมาครอบครัวของเราเหมือนถูกสาปให้หาความสุขไม่ได้ พ่อและแม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวัน แม่หน้าหมองคล้ำ ส่วนพ่อเองก็ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย สำหรับฉันการได้เห็นพ่อและแม่ทะเลาะกันเป็นเรื่องที่บั้นทอนความรู้สึกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฉันยังเด็ก และฉันเองก็ไม่สามารถรู้และเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใดพ่อและแม่จึงต้องทะเลาะกันด้วย และยิ่งนับวันเหตุการณ์ทำนองนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนคลายลงเลย มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเสียด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุครบแปดขวบได้ไม่นาน ฉันไม่เคยเห็นพ่อทำร้ายร่างกายแม่ แต่แล้วฉันก็ต้องได้ตอนที่เห็นพ่อนั่งคร่อมอยู่บนตัวแม่ที่นอนดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจของพ่อ แล้วพ่อก็เริ่มฟาดฝ่ามือหยาบกร้านลงบนพวงแก้มของแม่ ทีแล้วทีเล่า ข้างซ้ายที ข้างขวาที จนฉันต้องเบือนหน้าหนีพยายามซ่อนน้ำตาที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว น้องชายตัวเล็กของฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้จ้าอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน ผสานกับเสียงร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดของแม่ พ่อผละออกจากตัวแม่คล้ายได้สติ แล้วเดินเข้ามาหาน้องชายของฉัน พยายามจะเข้าไปอุ้มและปลอบประโลมให้คลายอาการตกใจ น้องชายของฉันถดหนีทั้งที่รู้ว่าไม่มีที่จะให้หนีอีกแล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นของน้องชายดีเพราะมันคงไม่ต่างจากความรู้สึกของฉันมากนัก ฉันเห็นพ่อได้กลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว ฉันรู้ว่าพ่อเองก็เสียใจกับสิ่งที่พ่อได้กระทำลงไปต่อหน้าพวกเรา พ่อถอยห่างออกจากน้อง แล้วหันมาบอกให้ฉันช่วยปลอบน้องแทน พ่อคว้ากุญแจรถยนต์จากหลังตู้เย็นก้าวเดินออกไปแล้วชะงักหยุดอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองภาพภายในบ้านอีกครั้ง แล้วพ่อจึงหันมาบอกฉันอีกครั้งว่า เดี๋ยวพ่อจะกลับมา ดูแม่ดูน้องให้ดีด้วย เสียงเครื่องยนต์ของรถพ่อดังไกลออกไปจนเงียบหาย แม่จึงเข้ามากอดฉันและน้อง แม่ร้องไห้อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แม่พร่ำบอกกับฉันและน้องว่า แม่ขอโทษ แม่ไม่น่าไปเอาเงินเขามาเลย หนูอย่าไปโกรธพ่อเขานะลูก แม่คลายก้อนสะอื้นออกมาเป็นห้วงๆ และกอดพวกเราแน่นขึ้น

แม่ไม่น่าไปเอาเงินเขามาเลย แม่ไม่น่าไปเอาเงินมาเลย ฮือ..ฮือ..
ฉันได้ยินประโยคนี้เนิ่นนานก่อนที่จะเงียบหายไปพร้อมกับเปลือกตาของแม่ที่ปิดสนิท แม่หลับไปแล้วอย่างยากเย็น ทิ้งฉันและน้องให้นั่งกอดกันท่ามกลางแสงสีส้มจัดของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับฟ้า-

๓.
วันนี้อยากกินอะไรดี แม่ถามฉันหลังจากที่ปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของแม่
ก๋วยเตี๋ยว ฉันบอกแม่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยร้านตรงปากทางนะแม่อร่อยดี

แม่พยักหน้าและสตาร์ทเครื่อง มอเตอร์ไซค์เคลื่อนไกลออกไปจากบ้านหลังนั้นทุกวินาที บ้านหลังนั้นดูเล็กลงและคลายความเคร่งขรึม ดุดันลงจนฉันกล้าที่จะหันกลับไปมอง รถมอเตอร์ไซค์ของแม่ยังคงวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเชื่องช้า ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่หวาดกลัวบ้านหลังนั้นอีกต่อไปแล้ว บ้านที่ทั้งฉันและน้องต่างเกลียดและกลัวเกรง บ้านที่เมื่อแม่พาฉันมาครั้งใด ขากลับแม่จะมีฟ่อนธนบัตรอยู่ในกระเป๋า บ้านที่เมื่อแม่มาครั้งใดหากกลับถึงบ้าน พ่อและแม่จะมีปากเสียงกันเป็นประจำ ฉันแอบได้ยินมาว่าบ้านหลังนั้นมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐีร่ำรวยจากการปล่อยเงินกู้ และมีงานอดิเรกเป็นท้าวแชร์ลูกโซ่เจ้าใหญ่ แม่ชอบพาทั้งฉันและน้องมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ เมื่อแม่กลับถึงบ้านไม่นานก็จะมีคนมากหน้าหลายตาเดินทางมาหาแม่ แล้วฟ่อนธนบัตรที่อยู่ในกระเป๋าของแม่ก็จะถูกจัดสรรและโยกย้ายไปสู่กระเป๋าของผู้คนที่เดินทางมาหาแม่อีกที บางคนเมื่อได้เงินจากแม่แล้วก็หายหน้าหายตาไปเลย ส่วนบางคนนั้นจะเดินทางกลับมาหาแม่ทุกครั้งเป็นประจำทุกเดือน ฉันเคยถามว่าคนพวกนี้เป็นใคร แม่บอกฉันว่าคนพวกนี้เป็นลูกหนี้แม่ แล้วคนที่แม่ไปหาที่บ้านหลังนั้นล่ะ ฉันถามแม่ แม่บอกกับว่าคนที่บ้านหลังนั้นเป็นเจ้าหนี้ของแม่อีกทีหนึ่ง ฉันถามแม่ว่าแล้วทำไมเราต้องไปเป็นลูกหนี้เขาด้วยในเมื่อเราเองก็เป็นเจ้าหนี้คนอื่นเหมือนกัน แม่บอกกับฉันว่าก็แม่ไปเอาเงินของเขามาออกดอกอีกที ฉันไม่เข้าใจธุรกรรมที่แม่กำลังดำเนินอยู่ แต่ฉันสามารถมีของเล่นที่ฉันอยากได้ น้องชายของฉันก็สามารถมีของเล่นที่เขาอยากได้ แม่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้คล่องมือกว่าแต่ก่อน แม่เคยบอกว่าลำพังแค่เงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยจะไปพอใช้อะไร จำเป็นที่แม่จะต้องไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อหารายได้เสริมเพื่อให้ครอบครัวของเราแข็งแรงขึ้นและมีความสุขมากยิ่งขึ้น ฉันอยากบอกแม่ว่าถึงแม้ว่าทั้งฉันและน้องจะไม่มีของเล่นอย่างที่อยากได้ฉันและน้องก็มีความสุข ฉันอยากเอาของเล่นทั้งของฉันและน้องไปคืนแม่แล้วบอกว่าถ้ามันทำให้พ่อและแม่ทะเลาะกัน ทั้งฉันและน้องก็ไม่อยากได้มันไว้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้แม่ไปที่บ้านหลังนั้นอีกต่อไป ฉันไม่อยากเห็นพ่อและแม่ทะเลาะกันอีกแล้ว ฉันเคยบอกแม่หลายครั้งว่าแม่อย่าไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลย แต่แม่ก็ปฏิเสธคำขอร้องของฉัน แม่บอกว่าแม่จำเป็นจะต้องไปที่บ้านหลังนั้น แม่ต้องไปรับผิดชอบต่อเงินของเขาที่มันสูญสลายไปพร้อมกับผู้คนที่เคยเดินทางมาหาแม่ บ้านของเราเงียบกริบและร้างไร้วิญญาณตั้งแต่ผู้คนพวกนั้นพากันหายหน้าไป พ่อและแม่ทะเลาะกันบ่อยขึ้นและนั่นน่าจะเป็นเสียงเดียวที่เกิดขึ้นในบ้าน เสียงหัวร่อต่อกระซิบที่เคยมี มันได้หายสาปสูญไปแล้วจากบ้านของเรา

๔.
ร้านก๋วยเตี๋ยวปากทางเป็นร้านเล็กๆ โครงสร้างทำจากไม้ยูคาลิปตัด เสาทั้งสี่ต้นยืนเป็นหลักให้กับหลังคาสังกะสีทรงเพิงหมาแหงน กลิ่นหม้อตุ๋นเนื้อเปื่อยโชยแตะจมูกมาแต่ไกล ที่นี่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำของใครหลายคนในละแวกนี้ รวมทั้งฉันและแม่ผู้มาจากถิ่นอื่น เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมกำลังหยิบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ตะแกรงรูปทรงกระบอกทำด้วยโลหะเพื่อนำไปลวกในหม้อต้มน้ำร้อน

เจ้าของร้านยิ้มทักทายแม่ แม่ยิ้มตอบกลับ ฉันไม่แน่ใจว่าวันนี้เจ้าของร้านจะผิดสังเกตกับรอยยิ้มของแม่ฉันในวันนี้หรือไม่ รอยยิ้มที่สดใสไม่มีแวววิตกกังวลเจืออยู่ ฉันอยากให้หล่อนถามแม่ของฉันเหลือเกินว่าทำไมวันนี้แม่ของฉันดูมีความสุขเหลือเกิน เพราะฉันจะเป็นคนตอบกับหล่อนด้วยตัวเองแทนแม่เลยว่า วันนี้เราจะมากินก๋วยเตี๋ยวฝีมือหล่อนเป็นวันสุดท้าย เพราะต่อจากนี้ไปแม่จะไม่มาที่นี่ แม่จะไม่มีวันกลับไปที่บ้านหลังนี้อีกเป็นอันขาด และหล่อนก็คงจะคาดเดาสถานการณ์ได้เองว่าเพราะเหตุใด และทำไมเราถึงไม่จำเป็นต้องไปที่บ้านหลังนั้นอีก แม่เคยบอกกับฉันว่าคนในละแวกส่วนมากต่างตกเป็นลูกหนี้ ต่างยอมก้มหัวให้บ้านหลังนั้นใช้แผ่นหลังของตัวเองเป็นที่ปลูกข้าว ให้บ้านหลังนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หล่อนเองก็คงไม่ผิดไปกับคนอื่นในละแวกนี้

คำถามของแม่เรียกให้ฉันกลับคืนสู่โลกแห่งความจริง แม่ถามฉันว่าจะกินอะไร ฉันเลือกก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเนื้อเปื่อย ฉันอยากจะจดจำรสชาติเนื้อเปื่อยของร้านนี้ให้ขึ้นใจที่สุด เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้กินเนื้อเปื่อยจากร้านแห่งนี้

เสียงของแม่สั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเนื้อเปื่อยสองชาม เราจึงเดินเข้าไปเลือกหาที่นั่งด้านในร้าน แม่ยิ้มอย่างมีความสุขและเผลอฮัมเพลงที่ฉันคุ้นหูมาตั้งแต่จำความได้ เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของทั้งพ่อและแม่ แม่เคยเล่าว่าพ่อเคยใช้เพลงนี้ร้องจีบแม่สมัยยังสาวๆ พวกเราได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน ผู้ชายเข้มแข็งและออกจะแข็งกระด้างจนเกินไปเสียด้วยซ้ำอย่างพ่อมาร้องเพลงจีบแม่ แม่ยังเล่าแถมมาด้วยว่าถ้าไม่ได้เพลงนี้ในวันนั้นทั้งฉันและน้องก็คงได้ไปเกิดในท้องของใครที่ไม่ใช่แม่เป็นแน่

แล้วภาพบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขแบบเก่าๆก็ล่องลอยเข้ามาในกระแสสำนึกของฉันอีกครั้ง ฉันยังจำได้ดีว่าครอบครัวของเรานั้นเคยมีความสุขกันมากมายแค่ไหน พ่อ น้อง และฉัน แต่งตัวเดินลงสนามหญ้าที่กำลังจะกลายสภาพเป็นสนามฟุตบอลในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า น้องชายของฉันอุ้มลูกฟุตบอลลายขาว-ดำ อยู่กับอกไม่ยอมให้ใคร เพราะหมายใจว่าตัวเองจะเป็นคนแรกที่เขียบอลเปิดสนาม โดยมีแม่ปูเสื่อนั่งเตรียมน้ำหวานและขนม อยู่ข้างๆสนามหญ้าตรงข้ามบ้านเช่าของเรา เสียงหัวเราะยังคงดังกังวาลอยู่ในหัวของฉันเสมอมา แต่แล้วบ้านหลังนั้นก็ทำให้ครอบครัวของเราไม่มีความสุข ไม่มีเสียงอีกเกิดขึ้นอีกเลย นับจากที่แม่ตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น แม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเราอย่างที่เคยมี แม่บอกว่าแม่ต้องไปตามหาผู้คนที่เคยเดินทางมาหาที่บ้าน เพราะผู้คนเหล่านั้นหายหน้าไป และหากแม่ไม่ไปตามหาผู้คนเหล่านั้น คนที่บ้านหลังนั้นก็จะเดินทางมาหาแม่ถึงที่บ้าน ส่วนพ่อเองที่เป็นคนคัดค้านการเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นของแม่ตั้งแต่แรก ก็ดูจะไม่มีความสุขเลย พ่อไม่อยากให้แม่เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น พ่อให้เหตุผลกับแม่ว่าบ้านหลังนั้นจะกลืนวิญญาณของแม่ไปจนหมด แม่จะไม่มีความสุข ทุกคนในครอบครัวจะไม่มีความสุข แต่แม่เองก็มีเหตุผลมาโต้แย้งว่าที่แม่จำเป็นจะต้องเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก็เพียงเพื่อจะมีรายได้มาช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวของเราดีขึ้นและยิ่งใหญ่ขึ้น เทียมหน้าเทียมตาผู้คนในละแวกนี้ได้บ้าง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องไปทัดเทียมกับคนอื่น อะไรเป็นมาตรวัดความเท่าเทียมกันของคนในละแวกบ้านเช่าของเรา เมื่อแม่ยืนยันความคิดที่ตัดสินใจแล้วพ่อก็คงไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาทัดทานแรงปรารถนาของแม่ ทั้งพ่อและแม่ต่างพูดกันน้อยคำลงเรื่อยๆจนถึงขั้นไม่พูดกันเลย หากมีเรื่องจะต้องพูดจากันก็ต้องไหว้วานให้ฉันเป็นสื่อกลางในการสนทนา เพราะห่กพ่อและแม่เอ่ยปากจะพูดกันเมื่อไหร่ การสนทนาครั้งนั้นก็จะกลายเป็นการโต้เถียงและทะเลาะวิวาทขึ้นมาทันที

๕.
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเนื้อเปื่อยสองชามถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะของเรา ฉันเลื่อนชามของฉันไปตรงหน้าแม่แล้วบอกให้แม่ช่วยเติมเครื่องให้ฉันหน่อย แม่ยิ้มแล้วตักเครื่องปรุงต่างลงในชามก๋วยเตี๋ยวของฉัน ฉันรู้ว่าแม่ไม่เคยรสชาติที่ฉันโปรดปราน แม่ใช้ตะเกียบและช้อนคลุกเคล้าให้เครื่องปรุงผสมผสานเข้าเนื้อน้ำซุป แล้วจึงเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวส่งให้ฉัน ฉันก้มลงสูดกลิ่นหอมจากชามก๋วยเตี๋ยว และโดยที่ฉันไม่ต้องชิมรสฉันก็รู้เลยทันทีว่าสิ่งที่ฉันมั่นใจนั้น ฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง

ก๋วยเตี๋ยวในชามของฉันหมดลงไปก่อนที่แม่จะกินเสร็จ ฉันถามแม่ว่าขอต่ออีกชามได้ไหม แม่ยิ้มแล้วบอกกับฉันให้เดินไปสั่งกับเจ้าของร้านเอาเอง ฉันถามแม่ว่าแม่จะต่ออีกชามด้วยไหม แม่พยักหน้าและบอกกับฉันว่าให้สั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กเนื้อเปื่อยใส่ถุงอีกสี่ถุง แม่บอกว่าซื้อไปเผื่อทั้งพ่อและน้องที่กำลังรออยู่ที่บ้านเช่าของเรา

เมื่อฉันสั่งรายการก๋วยเตี๋ยวเรียบร้อยแล้วฉันจึงเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะตามเดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่กินเสร็จพอดี แม่ยกน้ำเย็นขึ้นดื่มแล้วซับปากด้วยกระดาษชำระ แม่เหม่อมองออกร้าน ฉันไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่สายตาของแม่กำลังจับจ้องอยู่ที่เด็กชายอายุใกล้เคียงกับฉัน หน้าตาของเขามีลักษณะผิดปกติ ตรงหน้าผากมีก้อนเนื้อปูดโปนขนาดใหญ่ ทำให้สัดส่วนของกระโหลกผิดเพี้ยนไป ดวงตาหลุบลึกเข้าไปในเบ้าตา เรียวปากของเขาแหว่งหายไปคล้ายถูกฟันด้วยของมีคมจนเป็นแผลแกรรจ์ เขายืนจ้องมาที่ฉัน ด้วยแววตาที่แม้แต่คนที่ใจบาปหยาบช้าที่สุดก็คงจะต้องเวทนาสงสารเขา แต่แววตาของเขาไม่สามารถเรียกความเวทนาสงสารได้จากเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว หล่อนตะเพิดไล่เขาด้วยวาจาจาบจ้วงและป่าเถื่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยิน แต่ละถ้อยคำล้วนนำเอาความพิกลพิการของเขามาล้อเลียน เขาทำท่าจะเดินจากไปแต่แม่ก็เรียกเขาไว้เสียก่อน แล้วบอกให้เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวตามแต่ที่เขาอยากกินกับเจ้าของร้าน เขาไม่กล้าและทำท่าว่าจะเดินจากไปอีกครั้ง แม่จึงสั่งเจ้าของร้านให้หล่อนไปตามเด็กชายคนนั้นว่าจะกินอะไร หล่อนอิดออดแต่ก็เดินไปถามเขาอย่างไม่เต็มใจ เขาหันมามองหน้าแม่อีกครั้ง แม่พยักหน้าให้เขา เขายิ้มแม้รอยยิ้มนั้นจะอัปลักษณ์แต่มันก็มีความสุขที่สุดเจืออยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดเช่นเดียวกับแม่ เป็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นเมื่อพ่อกลับมา พ่อนำธนบัตรฟ่อนใหญ่กลับมาพร้อมกันกับพ่อ แม่ถามว่าพ่อนำเงินมาจากที่ไหน พ่อบอกกับแม่ว่าพ่อไปกู้เงินจำนวนนี้มากจากสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงานที่พ่อสังกัด พ่ออยากให้แม่รีบนำเงินก้อนนี้ไปที่บ้านหลังนั้น แล้วครอบครัวเราจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง แม่ยิ้มเป็นรอยยิ้มเดียวกับเด็กชายคนนั้น

ต่อไปนี้ครอบครัวของเราก็จะมีแต่ความสุขเพราะแม่ได้ให้สัญญากับพ่อแล้วว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะไปที่บ้านหลังนั้น

เด็กชายคนนั้นกำลังเอร็ดอร่อยกับก๋วยเตี๋ยวของเขา
ฉันและแม่ก็กำลังเอร็ดอร่อยกับก๋วยเตี๋ยวในชามของเรา

ต่อจากนี้ชีวิตครอบครัวก็จะมีแต่ความสุข ความสุขที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่อาจไปทัดเทียมใครได้ แต่ฉันเชื่อมั่นว่าครอบครัวของเราจะพบแต่ความสุขจากนี้และตลอดไป

เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเดินนำถุงพลาสติกที่ใส่ถุงก๋วยเตี๋ยวที่จะเอาไปฝากพ่อและน้องที่บ้านมาวางบนโต๊ะ แม่บอกให้หล่อนคิดเงิน หล่อนชะโงกหน้าไปนับจานของเด็กชายคนนั้นจากอีกโต๊ะแล้วนับรวมก่อนจะคิดคำนวณและบอกราคา แม่จ่ายเงินไปตามนั้น ก่อนจะออกจากร้านแม่ยื่นเงินส่งให้เด็กชานคนนั้นอีกจำนวนนึง เขาพนมมือไหว้แม่ของฉันและยิ้มอย่างปลาบปลื้ม

ฉันปีนขึ้นไปนั่งซ้อนแม่บนรถมอเตอร์ไซค์ แล้วบอกกับแม่ว่า ต่อไปจะเราจะไม่มาที่นี่ ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้วใช่ไหม

แม่บอกฉันว่าถ้าฉันอยากกินก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเปื่อยอีก แม่จะไปหาร้านที่อร่อยกว่านี้ เพราะนับจากนี้แม่จะไม่มาที่นี่ ที่บ้านหลังนั้นอีกต่อไป.

Wednesday, February 14, 2007

สังคม พึง ประสงค์

สังคม พึง ประสงค์
พงษ์ปรัชญา
แสงสลัวประสานท่วงทำนองหวานเศร้าเร่งเร้าให้บรรยากาศโรแมนติกก่อเกิดและหอมหวล คู่รักหลายคู่นั่งนิ่งเพื่อลิ้มรสห้วงเวลาแห่งไอรักอยู่ตามที่นั่งของตน บ้างอิงแอบ บ้างเกาะกุมมือถ่ายเทความรู้สึกแก่กันและกัน

ลึกเลยเข้าไปจากส่วนของบาร์คือบริเวณที่นั่งที่ลูกค้าต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ โซฟาตัวยาวถูกวางชิดผนัง ด้านหน้ามีโต๊ะกลางเป็นแผ่นกระจกใสขนาดสี่สิบคูณแปดสิบเซนติเมตรถูกวางลงบนขาตั้งเหล็กไม่มีลวดลาย บนโต๊ะมีแก้วเหล้าสองแก้วที่พร่องเหลือติดก้นแก้วพร้อมกับแกล้มอีกสองสามอย่าง เสียงเพลงยังคงแว่วมาไม่ขาด

"ขอแก้วด้วยครับ" บริกรเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหยิบแก้วทั้งสองขึ้นมาเพื่อเติมเหล้า เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เห็นชายสองคนกำลังอิงแอบแนบกาย

แต่เขาทั้งสองไม่ใยดีต่อสายตาและความคิดของใครอีกแล้วในค่ำคืนนี้

ใครจะมัวมาสนใจอะไรอีกในเมื่อค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการอำลา พรุ่งนี้แล้วสิที่สังคมคนรักของเขาจะต้องไปรายงานตัวที่ต้นสังกัดเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ที่ปัตตานี มันอันตรายเหลือเกิน เขากลัว...กลัวว่าสังคมจะไม่ได้กลับมาหาเขา ประสงค์หวาดหวั่นหัวใจอยู่ในอ้อมกอดของชายคนรัก

"เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก" สังคมกระชับร่างของประสงค์แอบอกแน่นขึ้น "เรารู้ว่าเธอไม่สบายใจที่เราจะไปที่นั่น แต่เธออย่าเป็นห่วงเรามากไปเลยสามเดือนหกเดือนเขาก็ผลัดเปลี่ยนกำลัง เราก็ได้กลับมาแล้ว ไม่นานหรอก"

"จะไม่ห่วงได้ยังไงเธอก็พูดแปลก ที่นั่นทหาร ตำรวจ ถูกยิง ถูกระเบิดตายกันเป็นใบไม้ร่วง" ประสงค์อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินเมื่อพูดจบประโยค เขารู้ว่าสังคมคนรักของเขาก็กังวลในสวัสดิภาพของตัวเองเหมือนกัน
"เราขอโทษ" ประสงค์ครางเมื่อเห็นสีหน้าของสังคมเผือดลง
"มันเป็นหน้าที่ เราก็ต้องไป แม้จะเป็นเฟืองเล็กๆเราก็อยากไปทำให้ที่นั่นสงบลงบ้าง" สังคมสบตาประสงค์ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแก้วเหล้าขึ้นจิบ
"เราอย่าพูดเรื่องเครียดๆกันเลยดีกว่าคืนนี้ รีบกิน รีบกลับกันเหอะนะ เวลามีน้อย"
"บ้า" ประสงค์ทุบที่อกของสังคมเบาๆก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นจิบด้วยเช่นกัน
"มาทุบเราทำไม พรุ่งนี้เธอต้องไปโรงเรียนแต่เช้าเหมือนกันนี่ เธอคิดอะไรของเธอล่ะ" สังคมกระเซ้า
"บ้า" ประสงค์ต่อว่าแก้อาย

***

แสงไฟหน้ารถสาดส่องเข้ามากระทบสายตาของหมาพันธุ์ทางที่นอนหมอบอยู่กับพื้นกระเบื้องภายในบ้าน หางของมันกระดิกรัวระริกด้วยความดีใจก่อนจะผุดลุกชูคอเห่าหอน มันพยายามตะกุยประตูไม้บานใหญ่ลายลูกฟักเพื่อหาทางออกไปประจบเจ้าของ

"ไอ้หลง หยุดนะ" มันหูตูบ หางลู่ลงไปหมอบกับพื้นครางงืดๆอยู่หน้าประตู ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก มันกระโจนพันแข้งพันขาเจ้านายของมันเหมือนว่าได้พลัดพรากจากกันมาหลายปี

"ไอ้หลง ไอ้หลง พอได้แล้ว เดี๋ยวล้มกันพอดี" สังคมชักรำคาญ
"นี่เธอบอกหมาเธอให้หยุดล้อมหน้าล้อมหลังเราสักทีเหอะ ชักรำคาญแล้ว" สังคมหันไปบอกประสงค์ที่กำลังหับประตูไม้บานใหญ่เพื่อลงกลอน
"หลงพอได้แล้วลูก" ประสงค์แย้มยิ้มและกล่าวอย่างนิ่มนวล

เจ้าหลงนิ่งมองประสงค์ก่อนจะลงไปหมอบลงแทบเท้าสังคม

"ทองมันแอบหนีไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหมหลง บอกให้ดูน้องให้ดี ทำไมน้องยังหนีออกไปนอกบ้านล่ะ" ประสงค์ถามถึงแมวขนสีทองลายเสือที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

เจ้าหลงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
มันรู้ว่าพอใกล้รุ่งสางไอ้ทองก็จะกลับมาเอง

***

เจ้าหลงเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่มันยังเด็กพร้อมกับเจ้าทอง นายประสงค์เก็บมันจากวัดท้ายซอย มันเติบโตพร้อมกับเจ้าทองและความความสงสัยอย่างหนึ่งว่า ทำไมนายประสงค์กับนายสังคมรักกันแต่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
มันรู้ว่านายสังคมเป็นทหาร
และนายประสงค์เป็นครูโรงเรียนประถม
จนเมื่อไม่นานมานี้เองมันก็ได้คำตอบ เจ้าทองมันแอบได้ยินนายทั้งสองคุยกันจึงเรียกเจ้าหลงมาร่วมแอบฟังด้วย

สาเหตุที่ทำให้นายทั้งสองต้องปิดบังความสัมพันธ์เอาไว้นั้น ก็เพราะหน้าที่การงาน ทั้งสองรับราชการ และคงจะไม่เกิดผลดีกับนายทั้งสองหากคนในหน่วยงานรู้เข้า และก็เป็นอย่างที่นายทั้งสองคาดไว้แววตาแห่งมิตรเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาแห่งความชิงชังรังเกียจฉายจับอยู่ที่นายทั้งสองตลอดเวลาเมื่อมีคนมาเห็นนายทั้งสองอาศัย อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วข่าวเริ่มแพร่สะพัดออกไป รวมทั้งครอบครัวของนายทั้งสองเมื่อรู้ข่าวก็โทรมาสอบถาม นายทั้งสองยอมรับความจริง และนายทั้งสองก็ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มี ทั้งครอบครับ เพื่อน

นายสังคมปลอบนายประสงค์ว่าเรื่องอย่างนี้ต้องใช้เวลาให้คนเหล่านั้นเข้าใจ เมื่อพวกเขาเข้าใจ เราก็จะกลับเขาไปอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับเขาได้

เจ้าหลงเห็นนายประสงค์ร้องไห้อย่างที่มันไม่เคยเห็น เจ้าทองเป็นอีกตัวที่เข้าไปคลอเคลียปลอบโยนนายประสงค์

***

ตะวันฉายแสงอ่อนอยู่ตรงขอบฟ้า เวลาร่ำลามาถึง
ประสงค์อยู่ในอ้อมกอดของสังคมเนิ่นนาน
"เราไปก่อนนะ เธอรู้แลตัวเอง ไอ้หลง ไอ้ทอง ให้ดีนะ แล้วเราจะกลับมาให้ไวที่สุด" สังคมเอ่ยคำลาก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากบ้าน ประสงค์ยืนมองชายเดินรักเดินไกลห่างออกไปจนลับตา

***

"นายสังคมหายไปไหนวะ นานแล้วไม่เห็นมาเลย" เจ้าทองเอ่ยถามเจ้าหลงหลังจากที่สังคมหายออกจากบ้านไปราวหกเดือน
"คึดถึงรึ?" เจ้าหลงย้อน
"หรือเอ็งไม่คิดถึง" เจ้าทองย้อนกลับ
"นายประสงค์คงคิดถึงนายสังคมมากกว่าเราสองตัวอีกเอ็งว่าไหม?"
"นั่นสิ"
เจ้าหลงไม่อยากบอกให้เจ้าทองรู้ว่า เหตุผลที่ทำให้นายสังคมหายหน้าไปเป็นเพราะนายสังคมต้องการแยกตัวให้อยู่ห่างๆกับนายประสงค์สักระยะหนึ่งก่อน นายสังคมอาสาลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายสังคมอยากให้เรื่องราวของนายทั้งสองคนเงียบเชียบลงสักระยะ เหตุการณ์อาจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
"เอ็งแปลกใจไหมทำไมคนรักกันอย่างนายประสงค์กับนายสังคมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้" เจ้าหลงเอ่ยถามเจ้าทอง
"ข้าทั้งแปลกใจและไม่เข้าใจ ว่าทำไม?"
"ข้าว่าคงเพราะนายทั้งสองของเราไม่เหมือนคนอื่น"
"ไม่เหมือนแปลว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือวะ" เจ้าทองสงสัย
"ข้าก็ตอบเอ็งไม่ได้เหมือนกันว่ะ เอ็งกับข้ายังไม่เคดกัดกันเลย ทะเลาะกันสักทีก็ไม่เคย ข้าสงสารนายประสงค์กับนายสังคมจับใจเลยว่ะ" เจ้าหลงรำพึง

***

ประสงค์นั่งจับจ้องที่หน้าจอโทรทัศน์ ทั้งร่างสั่นเทิ้ม

ในจอโทรทัศน์ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี
ประสงค์จับใจความอะไรเลยเมื่อได้ยินผู้เสียชีวิต
"ร้อยโทสังคม กลมกลืน"
ประสงค์รู้เพียงว่าคนรักของเขาถูกกระสุนของฝ่ายผู้ก่อการไม่สงบได้รับบาดเจ็บและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
น้ำตาไหลออกมาโดยที่ประสงค์ไม่รู้ตัว ร่างของเขาชา และหมดสติไป

***

น้ำตายังคงรินไหลออกมาไม่ขาดแม้จะหมดสติไป ประสงค์ได้สติขึ้นมาเขาภาวนาว่าตะกี้เขาหลับและฝันไป จริงๆแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคนรักของเขา สังคมยังมีชีวิตอยู่ ประสงค์ปาดน้ำตาเพื่อรับรู้ความจริงที่จะกลืนกินชีวิตของเขาไปชั่วนิรันดร์

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ประสงค์เอื้อมมือไปคว้ายกกระบอกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
"แฟนเธอน่ะ โดนยิง ตายแล้วที่ปัตตานี" ปลายเสียงแว่วเข้ามาโดยไม่มีการทักทาย

หัวใจของประสงค์หลุดลอย ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดอีกต่อไป

***

ผืนไตรรงค์ห่อคลุมร่างอันไร้วิญญาณของ ร้อยโทสังคม กลมกลืน
เสียงร่ำไห้คร่ำครวญดังแว่วเข้าโสตประสาทของประสงค์ เขามาถึงวัดที่จะวัดที่จัดพิธีรดน้ำศพของสังคมนานแล้ว เขาเฝ้ามองคนรักถูกแบกขึ้นไปบนศาลาวัดด้วยหัวใจที่แตกสลาย เขาไม่สามารถเข้าไปได้ เขาเข้าใกล้คนรักของเขาไม่ได้มากกว่านี้

สังคมต้องสละชีพแบบชายชาติทหาร ไม่ใช่ชายชาติทหารเกย์

ประสงค์พนมมือไหว้ศพคนรักของเขาในรถด้วยน้ำตานองหน้า

***

"นายประสงค์พาเรามาทำไมที่นี่วะ" เจ้าทองเอ่ยถาม
"นายประสงค์พาเรามาเคารพศพนายสังคม" เจ้าหลงตอบเสียงเศร้า
"นายประสงค์ตายแล้ว!" เจ้าทองตะลึง "นายสังคมเป็นอะไรตาย"
"นายสังคมถูกยิงตายที่ปัตตานี"
"ใครยิง ใครยิงนายประสงค์" เจ้าทองละล่ำละลัก
"ไม่รู้ว่าใคร"
"แล้วเขามาฆ่านายสังคมทำไม นายสังคมเป็นคนดี"
"เขาไม่รู้หรอกว่านายสังคมเป็นคนดี เขารู้แค่นายสังคมไม่ใช่พวกเดียวกับเขา"
"ไม่ใช่พวกเดียวต้องฆ่ากันด้วยหรือ"
"ข้าไม่รู้"
"ถ้าสังคมยอมรับคู่รักแบบนายสังคมกับนายประสงค์ นายสังคมก็คงไม่พาตัวเองไปตาย และถ้าหากที่ที่นายสังคมไปตายไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกนายสังคมก็ยังมีชีวิตกลับมาหาพวกเรา นี่มันอะไรกันวะไอ้หลง" เจ้าทองกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ
"ข้าไม่รู้"
"ข้าเป็นแมวเอ็งเป็นหมา ยังรักกันได้ ทำไมคนด้วยกันถึงรักกันไม่ได้วะ"
"ข้าไม่รู้..."